วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2558

นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา

สัปดาร์ที่ 12


การศึกษาสภาพปัญหาการเรียนการสอนในสถานศึกษา

1.การวิเคราะห์สภาพปัญหาของโรงเรียนในสมาชิก
           เมื่อได้รับมอบหมายงานทางสมชิกกลุ่มของพวกเรามีด้วยกันทั้งหมด 5 คนได้ประชุมหารือกันในบริบทที่ได้รับว่าทางกลุ่มของพวกเราจะเลือกศึกษาบริบทและสภาพปัญหาของโรงเรียนใด
  12 กันยายน 2558 ประชุมหารือ และวิเคราะห์สภาพแต่ละปัญหาของโรงเรียนดังนี้
      1.1โรงเรียนบ้านคำไชยวาน  ปัญหาทางด้านความหลากหลายของบุคลากรทางการศึกษา
       1.2 โรงเรียนอนุบาลวิภาวี  ครูจบไม่ตรงสายและขาดบุคลากรที่เป็นครูผู้ชาย
       1.3โรงเรียนบ้านนาสิงห์   สภาพแวดล้อมของโรงเรียนไม่เอื้อต่อการเรียนการสอน(ต้มไม้เยอะ/ยุงเยอะ)
       1.4โรงเรียนอนุบาลบัณฑิตน้อย  ปัญหาสื่อที่ไม่มีความหลากหลาย
       1.5โรงเรียนเรณูนคร  นักเรียนโดดเรียน/มาสาย    
2.เลือกสภาพปัญหาของของแต่ละโรงเรียน
3.วางแผนการดำเนินงาน
4.ปฎิบัติตามแผน(สำรวจข้อมูลเชิงลึก)


  ประวัติโรงเรียนอนุบาลวิภาวี
                                                                
           โรงเรียนอนุบาลวิภาวีที่อยู่ : หมู่12 บ้านศรีวิไล ตำบลศริวิไล อำเภอศรีวิไล
จังหวัดบึงกาฬ ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๙พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ โดยมีนายสมพร พันจำปาเป็นผู้อำนวยการสถนาศึกษา นายกันหา สุวรรณาวงศ์ แป็นผู้รับใบอนุญาต  และมีนางสาวภาวิณี สุวรรณวงศ์เป็นผู้จัดการ   พร้อมด้วยวงศ์ตระกูลเครือญาติผู้รับใบอนุญาติ ร่วมกันสร้างโรงเรียน ได้เนื้อที่ประมาณ ๕๒ ไร่ ๒ งาน และได้ร่วมกันสมทบเงินสร้างครั้งแรก อยู่ที่ประมาณ 4ล้านบาท แรงงานก่อสร้างอาคารเรียนชั่วคราวขึ้นจำนวน ๑ หลัง ๒ ห้องเรียน เปิดทำการสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล1 ถึงชั้นอนุบาล3 ในปีแรกมีนักเรียนเข้าเรียนในชั้นอนุบาลที ๑ จำนวน ๒๕ คน ชาย ๑๓ คน หญิง ๑๒ คน โดยมี นางสาวรัชนีวรรณ มาหริน เป็นครูประจำชั้นคนแรก
                      ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๕ได้ทำการก่อสร้างอาคารเรียนเพิ่มเติมอีก ๑ หลัง เป็นอาคารถาวรแบบ ป.๑ ฉ. จำนวน ๕ห้องเรียน ด้วยเงินงบประมาณของทางราชการส่วนหนึ่ง ลักษณะเป็นอาคารปูนชั้นเดียว ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๖และได้ขยายการศึกษาจากชั้นอนุบาล1 เป็นชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ในปีเดียวกันนี้ได้ก่อสร้างอาคารเรียนถาวรด้วยเงินงบประมาณเพิ่มเติมอีก ๑ หลัง แบบ ป.๑ ฉ ๕ ห้องเรียน ลักษณะเป็นอาคารปูนสองชั้น ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๗ได้ก่อสร้างอาคารเรียนถาวรด้วยเงินงบประมาณเพิ่มเติมอีก ๑ หลัง แบบองค์การบริหารส่วนจังหวัด ขนาด ๑0 ห้องเรียน ลักษณะเป็นอาคารคอนกรีตสองชั้น

                        ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๘ ก่อสร้างห้องสหกรณ์โรงเรียน นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนเงินจำนวน ๖๐,๐๐๐ บาท (หกหมื่นบาทถ้วน) จากสหกรณ์ออมทรัพย์ครูหนองคาย จำกัด เพื่อสมทบทุนก่อสร้างห้องสมุดจนแล้วเสร็จ ได้อาคารห้องสหกรณ์โรงเรียนเป็นเอกเทศจำนวน ๑ห้อง ขนาดกว้าง ๓ เมตร ยาว ๑๐.๕๐ เมตร ลักษณะเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก
                          ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๘ ได้ก่อสร้างอาคารสำนักงานโรงเรียนด้วยเงินงบประมาณเพิ่มเติมอีก ๑ หลัง แบบ สปช.๑๐๕/๒๕๒๙ ขนาด ๔ ห้องเรียน
                        ปัจจุบัน ปีพุทธศักราช ๒๕๕๘ โรงเรียนอนุบาลวิภาวี
 ได้เปิดทำการสอนตั้งแต่ ชั้นเตรียมอนุบาล ถึง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5  มีนักเรียน ๔๑๑คน ชาย ๑๙๖ คน หญิง ๒๑๕ คน รวม 22 ห้องเรียน มีผู้อำนวยการ ๑ คนผู้รับใบอนุญาต ๑ คนผู้จัดการ๑คน ข้าราชการครู - คน ครูอัตราจ้าง จำนวน - คน  ครูธุรการ ๑ คน  ลูกจ้าง ทั้งหมดจำนวน34  คน ครู16คน พี่เลี้ยง 20 คน ภารโรง 3คน พนักงานทั่วไป 5คน

ปรัชญาโรงเรียน
          ปัญญา โรงเรียน   พัฒนาการดี มีความคิด จิตสาธารณะ

คำขวัญโรงเรียน
     พัฒนาการดี  กีฬาเด่น เน้นปฏิบัติ พัฒนาสิ่งแวดล้อม เพียนพร้อมคุณธรรม

สีประจำโรงเรียน
          สีเทา-สีชมพู

เกียรติประวัติ
๑.การประกวดร้องเพลงคุณธรรม  รางวัลอันดับที่๓ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
๒.การประกวดบรรยายธรรม อันดับที่๑ของจังหวัดบึงกาฬ
๓.การสวดมนต์หมู่ทำนองสรภัญญะ อันดับที่๒ ของจังหวัดบึงกาฬ
๔.การประกวดภาพยนตร์สั้น อันดับที่๑ ของจังหวัดบึงกาฬ
๕.การประกวดอังกะลุง อันดับที่๑ ของจังหวัดบึงกาฬ





อาณาเขตที่ตั้งโรงเรียนอนุบาลวิภาวี
    อาณาเขตทิศเหนือ                ติดกับถนนสายศรีวิไล-นาแสง
    อาณาเขตทิศใต้                     ติดกับชุมชนบ้านอู่คำ
    อาณาเขตทิศตะวันออก        ติดกับชุมชนบ้านอู่คำ
    อาณาเขตทิศตะวันตก          ติดกับชุมชนศรีวิไล

สภาพและความพร้อมของบุคลากร
        ปี ๒๕๕๘ โรงเรียนอนุบาลวิภาวีมีจำนวนครูอาจารย์ จำนวน ๒๖ คน ลูกจ้างประจำ ๕คน ครูธุรการ ๑คนมีนักเรียนทั้งหมด ๔๑๑ คนอายุเฉลี่ยราชการ ๓๒ ปี ประสบการณ์ในการทำงานเฉลี่ย๓ปี อัตราครู ๑คนต่อนักเรียน๑๙คน ในระดับการศึกษามีบุคลากรที่จบการศึกษาปริญญาตรี ๑๖ คนส่วนมากจะสอนไม่ตรงตามวุฒิในรายวิชาที่ขาดแคลนบุคลาการ เช่น ดนตรี-นาฎศิลป์  ภาษาอังกฤษ  ภาษาไทย  คณิตศาสตร์จำเป็นต้องให้ครูในรายวิชาอื่นๆไปช่วยสอนแทน ทำให้จัดการเรียนการสอนไม่ได้คุณภาพเท่าที่ควร
    จำนวนนักเรียนในปีการศึกษา ๒๕๕๔   จำนวน  ๒0๕ คน
    จำนวนนักเรียนในปีการศึกษา ๒๕๕๕  จำนวน  ๒๕๖ คน
    จำนวนนักเรียนในปีการศึกษา ๒๕๕๖  จำนวน  ๓๔๒ คน
    จำนวนนักเรียนในปีการศึกษา ๒๕๕๘  จำนวน  ๔๑๑ คน
นักเรียนประถม๑-๕ จำนวน๒๑๓คน  จำนวนนักเรียนเตรียมอนุบาล-อนุบาล๓ จำนวน ๑๙๘ คน

ข้อมูลพื้นฐาน ภารกิจและปริมาณงานในความรับผิดชอบ
ประเภทอาคาร
๑.อาคารเรียน     จำนวน   ๓ หลัง
๒.อาคารสหกรณ์  จำนวน  ๑ หลัง
๓.อาคารหอประชุม จำนวน ๑หลัง
๔.อาคารสำนักงานจำนวน ๑หลัง
๕.โรงอาหาร ๑หลัง
๖.บ้านพักครู  ๓หลัง
๗.สระว่ายน้ำ ขนาดกลาง จำนวน๒สระ
๘.ห้องน้ำครูนักเรียน  ห้องเปลี่ยนชุดว่ายน้ำ จำนวน 26ห้อง
๙แอร์มีทุกห้องเรียนจำนวน 26ตัว
๑0.เครื่องซักผ้า จำนวน 6เครื่อง
๑๑.รถตู้โรงเรียนจำนวน  ๑0 คัน

วุฒิทางการศึกษา
๑.ปริญญาตรี  จำนวน ๑๖ คน  ชาย ๒คน  หญิง ๑๔คน
๒.ต่ำกว่าปริญญาตรี จำนวน ๒0 คน  ชาย- คน  หญิง ๒0คน

เหตุผลในการศึกษา
          เนื่องจาก ภาพรวมของโรงเรียนมีการบริหารงานอย่างไม่เป็นระบบไม่ว่าจะเป็นการบริหารงานทางด้านวิชาการที่ส่งเสริมผู้เรียนให้เกิดทักษะความรู้เพิ่มขึ้นสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆในโรงเรียน  โดยมีปัญหาที่เด่นชัดที่สุด  
1.                 จำนวนผู้เรียนในแต่ละชั้นมีจำนวนมาก ทำให้ครูไม่สามารถจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ทั่วถึงผู้เรียน   อัตราส่วนระหว่างครูต่อนักเรียนในแต่ละห้องทั้งระดับอนุบาลและระดับประถมศึกษามีผลกระทบต่อการดำเนินการด้านการจัดการเรียนการสอนในด้านต่างๆ คือ ด้านการควบคุมชั้นเรียน การดูแลเอาใจใส่นักเรียนเป็นรายบุคคล ด้านการแก้ปัญหาพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของนักเรียน ด้านการบริหารจัดการชั้นเรียน ด้านกระบวนการจัดการเรียนรู้ ด้านการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน ด้านการตรวจและติดตามงานนักเรียน ด้านการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และด้านการวัดและประเมินผล ดังนั้นการแก้ปัญหาการขาดครูโดยนำโทรทัศน์สู่ห้องเรียนน่าจะมีการทบทวน ปฏิรูปสื่อกันทั้งระบบ เพราะแน่นอนคนสอนสบาย แต่นักเรียนผลยิ่งเรียนยิ่งแย่   ซึ่งในการจัดชั้นเรียนของสถานศึกษาไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ ขนาดกลาง หรือขนาดเล็ก  ต้องจัดชั้นเรียนให้ผู้เรียนได้ศึกษาหาความรู้   ตามระดับชั้นให้สอดคล้องกับหลักสูตร และสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้  แต่จำนวนนักเรียนที่ห้องเรียนเกิน45 คน  ยากที่จะสร้างบรรยากาศทางวิชาการ  จากผลการวิจัยพบว่าขนาดห้องเรียนที่เหมาะสมมีนักเรียน 35-40  คน  ดังนั้นการลดนักเรียนเป็นเรื่องยาก  เพราะมีปัจจัยอื่นมากมาย ดังนั้นวิธีการที่ดีที่สุดในการลดปริมาณนักเรียนในระยะนี้คือ การแบ่งกลุ่มการเรียน
๒.  การบริหารงานบุคคล   มีปัญหาที่เด่นชัดที่สุด   คือ  ขวัญและกำลังใจของครูตกต่ำ   เพราะครูหนึ่งคนต้องรับผิดชอบดูแลผู้เรียนมากเกินไป  หรือรับผิดชอบชั้นเดียวแต่ต้องสอนทุกกลุ่มสาระ  อีกทั้งโอกาสที่จะเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ราชการก็มีจำกัดไม่เหมือนครูที่สอนในสถานศึกษาขนาดกลาง  หรือขนาดใหญ่   ครูไม่ครบชั้นแทบไม่มีโอกาสในการเข้ารับการพัฒนาเลย เพราะต้องอยู่กับนักเรียนตลอดเวลา การได้รับการพัฒนาตน  พัฒนางาน และมีความก้าวหน้าในวิชาชีพ หาโอกาสยากมาก   ดังนั้น ถ้าครูขาดขวัญและกำลังใจ ในการทำงาน  จะมีผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงาน  ตนเอง สถาบันการศึกษา  และประเทศชาติ 
๓.สื่อการเรียนการสอน ยังขาดคุณภาพเพราะครูไม่มีเวลานำเสนอหรือเสริมนักเรียนอย่างเต็มศักยภาพ   ขาดสื่อและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ฯลฯ ซึ่งมีผลกระทบต่อความมั่นใจของผู้ปกครองในการส่งบุตรหลานมาเข้าเรียนในภาคเรียนต่อไป    

ผลสำเร็จปัญหาในการจัดการเรียนการสอน
1. ส่งผลต่อผู้เรียน คือ ทำให้จำนวนผู้เรียนในแต่ละชั้นเพิ่มขึ้น ครูสามารถจัดกิจกรรมการเรียน  การสอนได้อย่างหลากหลาย    สังคมผู้เรียนกว้างขึ้น การเรียนรู้ระหว่างผู้เรียนมีความกว้างพอ  ผู้เรียนจึงสามารถพัฒนาการเรียนรู้ได้ทุกเรื่องคุณภาพของผู้เรียนน่าจะสูงขึ้น   
2.ส่งผลต่อครู  คือ ทำให้ขวัญและกำลังใจของครูดีขึ้น เพราะรับผิดชอบในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ทำให้ไม่เหนื่อย ไม่เครียด   ครูมีเวลาในการเตรียมการสอนและช่วงพักมากขึ้นเพราะแต่ละโรงเรียนรับผิดชอบ
ครูมีเวลามากขึ้นและไม่เครียด
3.ส่งผลต่อผู้ปกครอง    คือ   ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในการจัดการศึกษา  และเกิดความมั่นใจในการส่งบุตรหลานเข้ามาเรียนในโรงเรียน บรรยากาศการประชุมผู้ปกครองและชุมชนมีความหลากหลายมากขึ้น
 4.ส่งผลต่อประเทศชาติ    คือ   แก้ปัญหาการขาดแคลนครู    และประหยัดงบประมาณในการบรรจุครูให้ครบทุกชั้นเรียน ประหยัดงบประมาณในการก่อสร้างอาคารเรียน อาคารประกอบ   วัสดุ   คุรุภัณฑ์    สื่อเทคโนโลยี  ฯลฯ    สามารถใช้งบประมาณดังกล่าวมาร่วมกันได้   เป็นการประหยัดงบประมาณและใช้อย่างคุ้มค่า การลดภาระศึกษานิเทศก์

การบริหารจัดการในปัจจุบัน

วิธีการดำเนินการ

๑.   เปิดรับครูตรงตามเอก แต่ก็ยังมีปัญหาอยู่เพราะเอกที่ต้องการส่วนมากทางโรงเรียนรัฐบาลก็ต้องการเหมือนกัน  ประสานงานกับคณะกรรมการสถาศึกษา  ในการขออนุญาตดำเนินการแยกห้องเรียนออกเป็นระดับเก่ง  กลาง อ่อน บางระดับชั้นเพื่อง่ายต่อการจัดการเรียนการสอนของคณะครู และขอสนับสนุนงบประมาณจากหน่วยงานภาครัฐในการสร้างสื่อการเรียนการสอนต่างๆโดยส่งคณะครูที่จบไม่ตรงสายการสอนเข้าไปอบรม
๒.     นำนักเรียนจากโรงเรียนอนุบาลวิภาวีในชั้นประถม๑-๕แยกกลุ่มแยกห้องเรียนตามระดับความสามารถของบุคคล
๓.     จัดระบบการเรียนการสอน โดยมีการประชุมวางแผนกำหนดกรอบแนวคิดร่วมกันในการพัฒนาคุณภาพการศึกษากรณีที่ครูจบไม่ตรงสาย
๔.       จัดให้มีการปรับเปลี่ยนครูผู้สอนให้นักเรียนได้เรียนรู้เทคนิควิธีการใหม่ๆจากครู
๕.      การจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา /กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนในแผนร่วมกัน  ซึ่งดำเนินการร่วมกันเพื่อการนำทรัพยากรมาใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลต่อผู้เรียน
๖.     จัดประชุมผู้ปกครองโรงเรียนที่มาเรียนร่วมในชั้นนั้นเพื่อการสื่อสารและสร้างความเข้าใจ สำรวจความพึงพอใจในการขจัดการเรียนการสอนสร้างสัมพันธภาพอันดีและการยอมรับในการจัดการเชิงนโยบาย
๗.     กำหนดให้มีระบบประกันคุณภาพร่วมกันในการกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของทั้งโรงเรียน
๘.     ร่วมกันพัฒนาแหล่งเรียนรู้โดยอาศัยภูมิปัญญาท้องถิ่นโดยการนำบุคคลในท้องถิ่นที่มีความรู้นำมาถ่ายทอดให้เกิดการเรียนรู้และบูรณาการให้ตรงตามหลักสูตรได้  และสร้างศูนย์พัฒนาการเรียนรูปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในสถานศึกษาเพื่อการเรียนรู้และสร้างเจตคติที่ดีต่อผู้เรียนในการน้อมนำสู่วิถีชีวิตและการปฏิบัติ
๙.     การบริหารใช้การมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในการรายงานผลในที่ประชุมผู้ปกครอง กรรมการที่ปรึกษา  ชุมชน ภาคเรียนละ ๑ ครั้ง  และเป็นลายลักษณ์อักษร
๑๐.จัดให้มีการประเมินและรายงานผลการดำเนินโครงการปีการศึกษาละ ๑ ครั้ง


 แนวทางการแก้ปัญหา
               จากการดำเนินการมาเป็นเวลา    ภาคเรียน และเข้าสู่ภาคเรียนที่ ๔ ได้ดำเนินการแก้ปัญหาเป็นระยะ ๆ ดังนี้

แนวทางแก้ไขปัญหา

๑.       ประชุมสร้างความเข้าใจ ทบทวนการดำเนินการกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งระดับครูผู้ปฏิบัติการ ผู้ปกครอง ชุมชนและกรรมการสถานศึกษาของ โรงเรียนในการแบ่งระดับความรู้ของผุ้เรียน
๒.     จัดทำแผนพัฒนาร่วมกัน และจัดทำแผนปฏิบัติการในโครงการร่วมตามกลยุทธ์การพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็ก  ไม่ว่าจะเป็นการอบรมคณะครู อบรมการทำสื่อทุก๑เดือน
๓.     จัดประชุมปฏิบัติการครูผู้สอนและพัฒนาครูอย่างน้อย ๑ ครั้ง : ๑ ภาคเรียน  (การสอนโชว์ต่อผู้ปกครองสถานศึกษา)
๔.     ร่วมกันจัดกิจกรรม Open School  เปิดให้บุคคลภายนอกเข้ามามีบทบาทในการจัดการเรียนการสอนเพื่อความต้องการของผู้ปกครอง ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรภายนอก  หน่วยงานต่างๆ พระสงฆ์
๕.     สรุป ประเมินและรายงานผลการดำเนินงานปีละ ๑ ครั้งเพื่อศึกษา วิเคราะห์และนำผลมาปรับปรุงพัฒนาต่อไป
๖.     รายงานผลผู้เกี่ยวข้องตามกระบวนการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ผลการเรียนที่ดีขึ้น  การแข่งขันทักษะที่ดีขึ้น



ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงาน
๑.ผู้ปกครองนักเรียนไม่ยอมรับความจริงในการแบ่งแยกความสามารถของบุตร
๒.ครูสอนไม่ต่อเนื่องเนื่องจากการไปอบรมเพิ่มศักยภาพของตนเอง การเรียนต่อเป็นต้น
๓.ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในการจ้างวิทยากรต่างๆ
๔.ผุ้ปกครองขาดความร่วมมือในการแก้ปัญหาเบื้อง ไม่ว่างมาประชุม เป็นต้น

ประมวลภาพกิจกรรม







อ้างอิง
-https://www.facebook.com/wipaweeschool
-ข้อมูลโรงเรียน โดยการสัมภาษณ์ อาจารย์กันหา สุวรรณวงศ์ ผู้รับใบอนุญาติโรงเรียน

วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2558

นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา

สัปดาร์ที่ 11


การประยุกต์การสอนกับขั้นตอนการสอนด้วยขั้นบันได

การจัดการเรียนรู้ในอนาคต




ในการจัดการศึกษาในศตวรรษที่ 21 มุ่งเน้นการศึกษาเพื่อพัฒนาด้านความรู้ ด้านทักษะ ด้านการความรู้สึกนึกคิด โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี  การเรียนรู้จึงเป็นกระบวนการที่ผู้เรียนจะต้องลงมือปฏิบัติและกระทำด้วยตนเอง
1.ทักษะพื้นฐาน ได้แก่ สื่อสารสองภาษา การดำเนินงาน การแก้ปัญหา การใช้ ICT และการทำงานร่วมกับผู้อื่น
2.ทักษะการเรียนรู้และพัฒนาตน ได้แก่ เห็นคุณค่าและเชื่อมั่นในตนเอง ตระหนักรู้ในตนและรู้จักตนเอง มีทัศนะเชิงบวกต่อการเรียนรู้ จัดการหรือควบคุมตนเองได้ และคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล
3.ทักษะพลเมืองและความรับผิดชอบต่อสังคมโลก ได้แก่ มีส่วนร่วมกับกิจกรรมชุมชนหรือสังคม เคารพความหลากหลาย มีบทบาทหรือมีส่วนร่วมในการสร้างให้เกิดความเท่าเทียม ความยุติธรรมในสังคม
4.ทักษะการทำงาน ได้แก่ วางแผนงานหรือกิจกรรมได้ มีทักษะการจัดการตนเองและผู้อื่น ตรงเวลา มีวินัย ทำงานด้วยตนเองได้ จัดลำดับความสำคัญของงานและทำงานได้ตามเวลา สามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้ ตั้งใจเตรียมการล่วงหน้าและยืดหยุ่น และมีจริยธรรมในการทำงาน

การพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นเพื่อปรับตนเองในปัจจุบัน
ให้พร้อมรับกับสิ่งที่จะตามมาในอนาคต
1.  มนุษย์มีรูปแบบการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน ผู้สอนจึงต้องใช้วิธีการสอนที่หลากหลาย
2. ผู้เรียนควรเป็นผู้กำหนดองค์ความรู้ของตนเอง ไม่ใช่นำความรู้ไปใส่สมองผู้เรียน แล้วให้ผู้เรียนดำเนินรอยตามผู้สอน
3. โลกยุคใหม่ต้องการผู้เรียนซึ่งมีวินัย มีพฤติกรรมที่รู้จักยืดหยุ่น หรือปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม
4. เนื่องจากข้อมูลข่าวสารในโลกจะทวีเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ทุกๆ 10 ปี โรงเรียนจึงต้องใช้วิธีสอนที่หลากหลาย โดยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในรูปแบบต่างๆ กัน
5. ให้ใช้กฎเหล็กของการศึกษาที่ว่าระบบที่เข้มงวดจะผลิตคนที่เข้มงวดและระบบที่ยืดหยุ่นก็จะผลิตคนที่รู้จักการยืดหยุ่น
6. สังคม หรือชุมชนที่มั่งคั่ง ร่ำรวยด้วยข้อมูลข่าวสาร ทำให้การเรียนรู้สามารถเกิดขึ้นได้ในหลายๆ สถานที่
7. การเรียนรู้แบบเจาะลึก (deep learning) มีความจำเป็นมากกว่าการเรียนรู้แบบผิวเผิน
8.การสอนที่จัดว่ามีประสิทธิภาพ ต้องการครูที่มีคุณสมบัติมากกว่าการเป็นผู้ทำหน้าที่สอน
9. การศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียน (schooling) กับ การศึกษา (education) อาจไม่ใช่เรื่องเดียวกัน
10. โลกอนาคตจะให้ความสำคัญกับการจัดการศึกษาที่บ้าน (Home – based education) มากขึ้น

การจัดการศึกษาในอนาคต




ทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 ได้แก่ สาระวิชาหลัก
 ภาษาแม่ และภาษาโลกศิลปะ,  วิทยาศาสตร์,  คณิตศาสตร์การปกครองและหน้าที่พลเมืองเศรษฐศาสตร์ภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์   สาระวิชาหลักนี้จะต้องมี
Literacy >> ภาษา
Numeracy >> คำนวณ 
Reasonig abilities>> เหตุผล


สถานศึกษาแห่งศตวรรษที่ 21



ครูเพื่อศิษย์ต้องฝึกฝนตนเองให้มีทักษะในการเป็น  ผู้สอนงาน (Coaching) และ  เป็นพี่เลี้ยง (Mentoring)  หรือ“คุณอำนวย” (facilitator) ในการเรียนรู้แบบ  PBL (Project-Based Learning) ของศิษย์ ครูต้อง เลิกเป็น ผู้สอน ผันตัวเองมาเป็นโค้ช หรือ พี่เลี้ยง ของการเรียนของศิษย์ที่ส่วนใหญ่เรียนแบบ PBL 


การสอนงาน : Coaching





การฝึกสอน (Coaching) เป็นการบวนการฝึกสอนโดยเน้นการทำงานร่วมกันโดยผู้ฝึกสอนที่ทำหน้าที่เป็นครูฝึกสอน (Teacher) จะต้องมีทักษะ(Skills) ในการสอนและให้เน้นไปที่การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน
เครื่องมือที่ใช้ในการ Coaching&Mentoring
-  เน้นความสำคัญไปที่เป้าหมาย มากกว่าปัญหา 
-  จงฟังให้มากกว่าพูด
 -  จงใช้การถามคำถาม มากกว่าการสั่งให้ไปทำ
-การบอก                                     - การให้ข้อมูลป้อนกลับ
-การสอน                                     - การถามคำถามปลายเปิด
-การแนะนำ                                  - การท้าทายให้ทำงาน
- การรับฟัง

กระบวนการการเรียนรู้ตามบันได 5 ขั้น
ศักยภาพทักษะผู้เรียนยุคใหม่




 1)เรียนรู้การตั้งคำถาม สงสัย ใคร่รู้ (Learning to Question :Q)
 ใช้เทคนิค 5 w 1 H
Who
ใคร (ในเรื่องนั้นมีใครบ้าง)
What ทำอะไร (แต่ละคนทำอะไรบ้าง)
Where ที่ไหน (เหตุการณ์หรือสิ่งที่ทำนั้นอยู่ที่ไหน)
When เมื่อไหร่ (เหตุการณ์หรือสิ่งที่ทำนั้นทำเมื่อวัน เดือน ปี ใด)
Why ทำไม (เหตุใดจึงได้ทำสิ่งนั้น หรือเกิดเหตุการณ์นั้นๆ)
How อย่างไร (เหตุการณ์หรือสิ่งที่ทำนั้นทำเป็นอย่างไรบ้าง)
2) เรียนรู้การแสวงหาสารสนเทศ สืบเสาะ ค้นคว้า(Learning to Search : S)
- องค์กรที่จัดให้บริการสารสนเทศแก่ผู้ใช้โดยตรง เช่น ห้องสมุด , พิพิธภัณฑ์
หอจดหมายเหตุ
, และหอศิลป์
- แหล่งอื่นที่ไม่ได้บริการโดยตรง เช่น บุคคล สถานที่ เหตุการณ์
-แหล่งสืบค้น Online เช่น อินเตอร์เน็ต
3) เรียนรู้เพื่อสร้างองค์ความรู้  สรุป (Learning to Construct : C )
3.1 แหล่งกำเนิดขององค์ความรู้
- ความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอดจากบุคคลอื่น
- ความรู้เกิดจากประสบการณ์การทำงาน
- ความรู้ที่ได้จากการวิจัยทดลอง
- ความรู้จากการประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ
- ความรู้ที่มีปรากฏอยู่ในแหล่งความรู้ภายนอกโรงเรียนและนักเรียนได้นำมาใช้
4) เรียนรู้เพื่อการสื่อสารสื่อสาร สัมพันธ์ (Learning to Communicate : C)
1. การนำเสนอข้อมูลโดยรายงานวิจัย /บทความ ( Text Presentation)
2. การนำเสนอโดยตาราง ( Tabular Presentation )
3.การนำเสนอด้วยกราฟหรือแผนภูมิ ( Graphical Presentation )
4. การนำเสนอด้วยวาจา
5. การนำเสนอคลังความรู้ KM ในเว็บไซต์
5). เรียนรู้เพื่อตอบแทนสังคม  การให้บริการ (Serve : S)
ทำเป็นนิทรรศการ/โครงงาน ฯลฯ



ทำเป็นแผ่นพับประชาสัมพันธ์



นำเสนอผ่านสื่อ Online /Socialmedia




การประยุกต์
การให้เหตุผล: Reasoning (แบบอุปนัย)
ขั้นที่ 1 ตั้งคำถาม/คาดคะเนคำตอบ/ตั้งสมมติฐาน
ขั้นที่ 2 สืบค้น/แสวงหาสารสนเทศ วางแผน/สำรวจ
ขั้นที่  3 สังเกตตั้ง  คำถาม   เข้าถึงข้อมูล โดย อ่าน ฟัง ดู จดบันทึก (Literacy)
การให้เหตุผล: Reasoning แบบนิรนัย
ขั้นที่ 2 สืบค้น/แสวงหาสารสนเทศ
ขั้นที่ 3 สร้างองค์ความรู้   
*วิเคราะห์ข้อมูล   
*สื่อความหมายข้อมูล   
*สรุปผล
ขั้นที่ 4 วางแผน/สำรวจสืบค้น/กลั่นกรองข้อมูลการใช้ตัวเลข (Numeracy) ในการวัด/วิเคราะห์
ขั้นที่ 5 นำองค์ความรู้ไปประยุกต์ใช้ บริการ/ตอบแทนสังคม