วิธีการสอน
(Teaching Method) คือ ขั้นตอนที่ผู้สอนดำเนินการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์
ด้วยวิธีการต่างๆ ที่แตกต่างกันไปตามองค์ประกอบและขั้นตอนสำคัญอันเป็นลักษณะเด่นหรือลักษณะเฉพาะที่ขาดไม่ได้ของวิธีนั้น
ๆ
หลักเกณฑ์ในการเลือกวิธีสอน
1.
ลักษณะของเนื้อหาวิชาที่จะสอน
ถ้าผู้สอนต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทั้ง 3 ด้าน คือ ความรู้ ทักษะ และเจตคติ
2.
ผู้สอน
ผู้สอนอาจมีเทคนิคในการพูด หรือความสามารถในการถ่ายทอด
ใช้วิธีการแสดงให้เห็นจริงด้วยวิธี การสาธิต หรือด้วยการใช้สื่อการสอนต่าง ๆ เข้ามาช่วย
3.
ทรัพยากรที่มีอยู่
สิ่งที่ต้องคำนึงถึงอีกอย่างหนึ่ง ในการเลือกวิธีสอน
คือ ทรัพยากรต่าง ๆ ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องของเวลาที่จำกัด วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่
4.
หลักการของการเรียนรู้
ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้ได้ด้วยการรับสิ่งเร้า
โดยผ่านทางประสาทรับรู้ในส่วนต่างๆ
วิธีการสอน
วิธีการสอนที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน
มีจำนวน 17 วิธี โดยมีรายละเอียดดังนี้คือ
1.
วิธีการสอนโดยใช้การบรรยาย
2.
วิธีการสอนโดยใช้การสาธิต
3.
วิธีการสอนโดยใช้การทดลอง
4.
วิธีการสอนโดยใช้การนิรนัย
5.
วิธีการสอนโดยใช้การอุปนัย
6.
วิธีการสอนโดยใช้การไปทัศนศึกษา
7.
วิธีการสอนโดยใช้การอภิปรายกลุ่มย่อย
8.
วิธีการสอนโดยใช้การแสดงละคร
9.
วิธีการสอนโดยใช้การแสดงบทบาทสมมติ
10.
วิธีการสอนโดยใช้กรณีตัวอย่าง
11.
วิธีการสอนโดยใช้เกม
12.
วิธีการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลอง
13.
วิธีการสอนโดยใช้ศูนย์การเรียน
14.
วิธีการสอนโดยใช้บทเรียนแบบโปรแกรม
15.
วิธีการสอนโดยใช้โครงงานหรือโครงการ
16.
วิธีการสอนแบบ M-I-A-P
สื่อ (Media)
ความหมายของสื่อการเรียนการสอน
(Instructional Media)
สื่อ (Media) หมายถึง ตัวกลางที่ใช้ถ่ายทอดหรือนำความรู้ในลักษณะต่าง
ๆ จากผู้ส่งไปยังผู้รับให้เข้าใจ ความหมายได้ตรงกัน ในการเรียนการสอน สื่อที่ใช้เป็นตัวกลางนำความรู้ในกระบวนการสื่อความหมายระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนเรียกว่าสื่อการเรียนการสอน (Instruction Media)
สื่อการเรียนการสอน (Instructional
Media) หมายถึง ตัวกลางที่จะทาให้ผู้สอนบรรลุวัตถุประสงค์ในการส่งข่าวสาร
ข้อมูลความรู้ทางด้านการศึกษาไปยังผู้เรียน โดยเน้นเนื้อหาอันเป็นความรู้ตามหลักสูตรหรือกิจกรรม
เพื่อส่งเสริมศักยภาพของผู้เรียนอย่างเต็มที
ความสำคัญของสื่อการสอน
2.1
ช่วยให้นักเรียนเกิดความสนใจ
2.2
ช่วยให้นักเรียนมีประสบการณ์กว้างขวางขึ้น
2.3
ช่วยแก้ปัญหาในการเรียนการสอน
2.4
ช่วยให้เข้าใจความหมายที่ต้องการสื่อได้ตรงกัน
2.5
ช่วยลดเวลาการสอน เพิ่มเนื้อหาวิชาขึ้น
2.6
ช่วยให้เกิดความพึงพอใจในการเรียน
2.7
ช่วยจัดการเรียนรู้สิ่งที่มีข้อจากัด เช่น
- ทาสิ่งที่มีขนาดใหญ่เกินไป ให้เล็กลงจนศึกษาได้
- ทาสิ่งที่เล็กเกินไป ให้มีขนาดใหญ่จนศึกษาได้
- ทาสิ่งที่เคลื่อนไหวเร็วให้ช้าลง (ตัวอย่าง)
- ทาสิ่งที่เป็นอดีตมาศึกษาในปัจจุบัน (ตัวอย่าง)
- ทาสิ่งที่อยู่ไกลตัวมาศึกษาได้ (ตัวอย่าง)
- ทาสิ่งที่ซับซ้อนให้ง่ายขึ้น (ตัวอย่าง)
- ทาสิ่งที่เป็นนามธรรมให้เป็นรูปธรรม (ตัวอย่าง)
- ช่วยให้จาเนื้อหาบทเรียนได้ดี
ลักษณะของสื่อที่ดี
3.1 เหมาะกับวัตถุประสงค์
3.2 เหมาะกับวัยของผู้เรียน
3.3 เหมาะกับกิจกรรมการเรียนการสอน
3.4 ใช้ง่าย ปลอดภัย และสะดวก ลักษณะของสื่อควรมี
ขนาดพอเหมาะ
3.5 ไม่สิ้นเปลืองและคุ้มค่า
คุณภาพของสื่อการสอนที่ดี
4.1 รูปร่างกะทัดรัด สวยงาม น่าสนใจ
ประณีต
4.2 ทางานได้ตามที่ต้องการ ตรงวัตถุประสงค์
4.3 สะดวกเวลาใช้ไม่ยุ่งยาก หรือเป็นอันตราย
4.4 ราคาของวัตถุไม่แพงมาก
4.5 มีความคงทนแน่นหนา
4.6 เมื่อชารุดสามารถซ่อมแซมได้ง่าย
4.7 สะดวกเวลาเก็บรักษา
การเลือกสื่อการสอน
การเลือกสื่อการเรียนการสอนให้เหมาะกับวัตถุประสงค์
ในการพิจารณาเลือกใช้หรือสร้างสื่อการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ในขั้นต้นจะต้องพิจารณาเป้าหมายของวัตถุประสงค์ของบทเรียนเป็นหลัก
โดยการวิเคราะห์เนื้อหาของวัตถุประสงค์นั้น ๆ ว่ามีจุดสำคัญอะไรควรสื่อความหมายลักษณะใด
จากนั้นจึงเลือกลักษณะของสื่อให้สอดคล้องกับเนื้อหาหลักของวัตถุประสงค์นั้น โดยพิจารณาเลือกเรียงลำดับจากสิ่งที่เป็นนามธรรม (Abstract) ไปสู่สิ่งที่เป็นรูปธรรม(Concrete)
ดังนี้
7. ประเภทของสื่อการเรียนการสอน
สื่อการเรียนการสอนที่ใช้ประกอบในการเรียนการสอนเท่าที่พบเห็นและจากประสบการณ์
พอสรุปเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้คือ
7.1 กระดานดำ
(Chalk Boards)
7.2 หนังสือ/ใบเนื้อหาและใบงาน (Book or text/Information and Worksheets)
7.3 แผ่นภาพ
(Wall Charts)
7.4 แผ่นใส
(Overhead Transparencies)/สไลด์อิเล็กทรอนิกส์
(Electronics Slide)
7.5 โมเดลพลาสติก
(Overhead Plastic Models)
7.6 ภาพสไลด์และแผ่นภาพยนต์
(Slide Series and Filmstrips)
7.7 แถบบันทึกเสียง
(Audiotape Recordings)
7.8 แถบวิดีทัศน์/แผ่นวิดีทัศน์ (Videotape Recordings and Videodiscs)
7.9 หุ่นจำลอง
(Models)
7.10 อุปกรณ์ทดลอง/สาธิต (Experimental/Demonstration Sets)
7.11 ของจริง
(Real Objects)
7.12 บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน(CAI) หรือซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์อื่นๆ
เป็นต้น
การใช้สื่อการสอน
1.ขั้นวางแผนเตรียมการใช้สื่อ
2.เตรียมสื่อการสอน
3.ขั้นนาสื่อไปใช้
4.ขั้นวัดและประเมินผลการใช้สื่อ
การผลิตสื่อ
1.ตั้งจุดมุ่งหมายการผลิตเฉพาะสื่อ
2.เตรียมเนื้อหา ข้อมูล เกี่ยวกับสื่อที่ผลิต
3.วางโครงการ
4.ดาเนินการผลิต
5.ทดลองใช้สื่อ
6.ปรับปรุงสื่อ
7.กาหนดสื่อไปใช้
แหล่งการเรียนรู้
ความหมายของแหล่งการเรียนรู้
แหล่งการเรียนรู้
หมายถึง แหล่งข่าวสารข้อมูล
สารสนเทศ แหล่งความรู้ทางวิทยาการและประสบการณ์ที่สนับสนุนส่งเสริมให้ผู้เรียน
ใฝ่เรียน ใฝ่รู้ แสวงหาความรู้และเรียนรู้ด้วยตนเอง ตามอัธยาศัยอย่างกว้างขวางและต่อเนื่องจากแหล่งต่าง
ๆ เพื่อเสริมสร้างให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้
และเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้
ความสำคัญของแหล่งการเรียนรู้
1. เป็นแหล่งการศึกษาตามอัธยาศัย
2. เป็นแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต
3. เป็นแหล่งปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน การศึกษาค้นคว้าและการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง
4. เป็นแหล่งสร้างเสริมประสบการณ์ภาคปฏิบัติ
5. เป็นแหล่งสร้างเสริมความรู้ ความคิด วิทยาการและประสบการณ์
2. เป็นแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต
3. เป็นแหล่งปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน การศึกษาค้นคว้าและการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง
4. เป็นแหล่งสร้างเสริมประสบการณ์ภาคปฏิบัติ
5. เป็นแหล่งสร้างเสริมความรู้ ความคิด วิทยาการและประสบการณ์
วัตถุประสงค์ของการจัดแหล่งการเรียนรู้ใน
1. พัฒนาโรงเรียนให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ มีแหล่งข้อมูล ข่าวสาร ความรู้วิทยาการ และสร้างเสริม
ประสบการณ์ที่กว้างขวางหลากหลาย
2. เสริมสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ในโรงเรียน โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
3. จัดระบบและพัฒนาเครือข่ายสารสนเทศ และแหล่งการเรียนรู้ในโรงเรียน
4. ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทักษะการเรียนรู้ เป็นผู้ใฝ่เรียน ใฝ่รู้ และเรียนรู้ด้วยตนเองอย่าง
2. เสริมสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ในโรงเรียน โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
3. จัดระบบและพัฒนาเครือข่ายสารสนเทศ และแหล่งการเรียนรู้ในโรงเรียน
4. ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทักษะการเรียนรู้ เป็นผู้ใฝ่เรียน ใฝ่รู้ และเรียนรู้ด้วยตนเองอย่าง
ต่อเนื่อง
ประเภทของแหล่งการเรียนรู้
แหล่งการเรียนรู้แบ่งเป็น 2 ประเภท
ดังนี้
อาจแบ่งแหล่งการเรียนรู้ที่อยู่รอบตัวผู้เรียน
. เทคโนโลยี ได้แก่
- คอมพิวเตอร์
- อีเมล์ (e-mail)
- อินเทอร์เน็ต
2. สิ่งแวดล้อม ได้แก่
- แหล่งน้ำ เช่น
แม่น้ำ ลำคลอง ห้วย หนอง
บึง วนอุทยาน
- ภูเขา เช่น ถ้ำ
หินงอก หินย้อย
- สวนพฤกษศาสตร์ เช่น
สวนสมุนไพร สวนป่าธรรมชาติ
สวนพฤกษศาสตร์ในโรงเรียน สวนสาธารณะ
- เขื่อน
3. สถานที่ ได้แก่
- สถานที่สำคัญทางศาสนา เช่น
วัด โบสถ์ มัสยิด สุเหร่า
- ปูชณียสถาน โบราณสถาน
- โรงเรียน
- โรงพยาบาล
- ไปรษณีย์
- สถานีตำรวจ
- พิพิธภัณฑ์
- ห้องสมุด เช่น ห้องสมุดโรงเรียน ห้องสมุดในชุมชน
4. สื่อสารมวลชน ได้แก่ หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ ETV
วิทยุ สารสนเทศ
5. บุคลากร ได้แก่
- เพื่อน เช่น
เพื่อนในห้องเรียน เพื่อนในชุมชน
- ครู เช่น ครูใหญ่ ผู้อำนวยการ
ครูวิชาต่าง ๆ
- ผู้นำชุมชน เช่น
ผู้นำศาสนา
- แพทย์
- องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)
- ตำรวจ
- ภูมิปัญญาชาวบ้าน เช่น
ดนตรี ก่อสร้าง ยารักษาโรค การนวดแผนโบราณ
การออกแบบระบบการเรียนการสอน
(Instructional System
Design : ISD)
การออกแบบการสอน
หมายถึง หลักการหรือศาสตร์ในการกำหนดรายละเอียด ของรายการต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ เพื่อพัฒนา
ประเมิน และทำนุบำรุง รักษาให้คงไว้ของสภาวะต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ต่อไป
ระบบการสอน (Learning
System )
เป็นการนำเอาวิธีระบบ
หรือการจัดระบบมาใช้ในการเรียนการสอน ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลที่ป้อน (Input) กระบวนการ(Process) และมีผลผลิต (Output) เช่น ระบบการสอน จะมีองค์ประกอบย่อย ๆ เช่น ระบบครูผู้สอน ระบบนักเรียน
ระบบสื่อการสอน ระบบการเลือกและใช้สื่อการสอน หรือแหล่งการเรียนรู้
ซึ่งหน่วยย่อยเหล่านี้ สามารถทำงานในหน้าที่ของตนอย่างมีอิสระ
แต่ถ้าหน่วยย่อยนั้นมีการเปลี่ยนแปลงก็จะส่งผลกระทบถึงหน่วยย่อยอื่น ๆ
ด้วยระบบการสอนที่มีการออกแบบโดยใช้วิธีระบบ (Systematic
approach) มีการทดลองใช้อย่างกว้างขวาง
มีการกำหนดขั้นตอนการสอน เช่น มีการกำหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม
ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ การใช้แหล่งความรู้
ให้สามารถตอบสนองต่อความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน เช่น วัย เพศ
อัตราการเรียนรู้ ความสามารถทางด้านสติปัญญา ความสนใจ ความถนัด ประสบการณ์เดิม
ตลอดจนพื้นฐานทางวัฒนธรรม ซึ่งครูผู้สอนและนักเทคโนโลยีการศึกษา
จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการออกแบบพัฒนาระบบการสอน
การออกแบบระบบการสอน ได้มีนักการศึกษาไว้ดังนี้
โพแฟม และเบเกอร์ (James W. Popham, and Baker, 1970) ได้ออกแบบระบบการสอนโดยแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้
1. กำหนดวัตถุประสงค์
2. พิจารณาพื้นฐานผู้เรียน
3. วางแผนกิจกรรมการเรียนการสอน
4. ประเมินผล
โพแฟม และเบเกอร์ (James W. Popham, and Baker, 1970) ได้ออกแบบระบบการสอนโดยแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้
1. กำหนดวัตถุประสงค์
2. พิจารณาพื้นฐานผู้เรียน
3. วางแผนกิจกรรมการเรียนการสอน
4. ประเมินผล
เบราน์และคณะ (Brown and others, 1986) เป็นระบบการสอนที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางในการเรียน
และมีการวิเคราะห์ผู้เรียน เพื่อที่จะสามารถจัดการเรียนการสอนซึ่งตอบสนองความแตกต่างของผู้เรียน
ดังมีรายละเอียดดังนี้
- เป้าหมาย (goals) เพราะในการเรียนการสอนหรือการฝึกอบรมก็ตามจำเป็นต้องมีจุดประสงค์ จุดมุ่งหมาย ซึ่งจุดประสงค์ต่าง ๆ เหล่านี้จะต้องนำไปเขียนเป็นจุดประสงค์การเรียนรู้ ซึ่งแบ่งเป็น 3 ด้านดังนี้
1. ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) เกี่ยวข้องกับความรู้ ความจำ ความเข้าใจ การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินผล
2. ด้านจิตพิสัย (Affective Domain) เกี่ยวข้องกับเจตคติ และความรู้สึกนึกคิด เช่น ความรู้สึกซาบซึ้งต่อดนตรี หรืองานศิลปะ เป็นต้น
3. ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) เป็นเรื่องเกี่ยวกับทักษะต่าง ๆ เช่น ทักษะการเล่นฟุตบอล ทักษะการพิมพ์ หรือทักษะการประดิษฐ์ตัวอักษร เป็นต้น
- สภาพการณ์ (Conditions) หมายถึง ประสบการณ์การเรียนรู้ที่จัดให้ผู้เรียน สามารถทำให้ผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ โดยยึดหลักการที่ว่า "การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่เกิดจากกระทำด้วยตนเองทั้งทางร่างกายและจิตใจ" ดังนั้น การเลือกรูปแบบของประสบการณ์ และกิจกรรมที่เอื้อให้ผู้เรียนสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ และสอดคล้องกับรูปแบบการเรียนของผู้เรียนจึงเป็นสิ่งสำคัญ
- แหล่งการเรียน (Resources) นับเป็นส่วนประกอบหลักที่สำคัญของการจัดการสอน ซึ่งรวมไปถึงสิ่งแวดล้อมทางกายภาพต่าง ๆ ที่จะเอื้อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่ วัสดุ อุปกรณ์รวมถึงบุคลากร ครูผู้สอน ห้องสมุด ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อ ผู้ช่วยสอนและอื่น ๆ ซึ่งมีผลโดยตรงหรือทางอ้อมที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้ดี
- ผลลัพธ์ (Outcomes) คือผลที่ได้รับการกิจกรรมการเรียนการอน เช่น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน ซึ่ง จะมีการรวบรวมข้อมูลแล้วนำมาเป็นข้อปรับปรุงเพื่อให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
- เป้าหมาย (goals) เพราะในการเรียนการสอนหรือการฝึกอบรมก็ตามจำเป็นต้องมีจุดประสงค์ จุดมุ่งหมาย ซึ่งจุดประสงค์ต่าง ๆ เหล่านี้จะต้องนำไปเขียนเป็นจุดประสงค์การเรียนรู้ ซึ่งแบ่งเป็น 3 ด้านดังนี้
1. ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) เกี่ยวข้องกับความรู้ ความจำ ความเข้าใจ การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินผล
2. ด้านจิตพิสัย (Affective Domain) เกี่ยวข้องกับเจตคติ และความรู้สึกนึกคิด เช่น ความรู้สึกซาบซึ้งต่อดนตรี หรืองานศิลปะ เป็นต้น
3. ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) เป็นเรื่องเกี่ยวกับทักษะต่าง ๆ เช่น ทักษะการเล่นฟุตบอล ทักษะการพิมพ์ หรือทักษะการประดิษฐ์ตัวอักษร เป็นต้น
- สภาพการณ์ (Conditions) หมายถึง ประสบการณ์การเรียนรู้ที่จัดให้ผู้เรียน สามารถทำให้ผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ โดยยึดหลักการที่ว่า "การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่เกิดจากกระทำด้วยตนเองทั้งทางร่างกายและจิตใจ" ดังนั้น การเลือกรูปแบบของประสบการณ์ และกิจกรรมที่เอื้อให้ผู้เรียนสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ และสอดคล้องกับรูปแบบการเรียนของผู้เรียนจึงเป็นสิ่งสำคัญ
- แหล่งการเรียน (Resources) นับเป็นส่วนประกอบหลักที่สำคัญของการจัดการสอน ซึ่งรวมไปถึงสิ่งแวดล้อมทางกายภาพต่าง ๆ ที่จะเอื้อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่ วัสดุ อุปกรณ์รวมถึงบุคลากร ครูผู้สอน ห้องสมุด ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อ ผู้ช่วยสอนและอื่น ๆ ซึ่งมีผลโดยตรงหรือทางอ้อมที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้ดี
- ผลลัพธ์ (Outcomes) คือผลที่ได้รับการกิจกรรมการเรียนการอน เช่น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน ซึ่ง จะมีการรวบรวมข้อมูลแล้วนำมาเป็นข้อปรับปรุงเพื่อให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
เกอร์ลาซ และ อีลี (Gerlach and Ely, 1980) ได้เสนอรูปแบบการสอนซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ 10 ประการคือ
1. กำหนดวัตถุประสงค์ (Specification of Objectives) คือการวัตถุประสงค์ว่าผู้เรียนควรจะสามารถทำสิ่งใดได้บ้าง
2. กำหนดเนื้อหา (Specification of Content) เป็นการเลือกเนื้อหาที่จะสามารถช่วยให้ผู้เรียนบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ได้
3. พิจารณาพื้นฐานเดิมของผู้เรียน (Assessment of Entering Behaviors) การทราบถึงความรู้พื้นฐานหรือประสบการณ์เดิมของผู้เรียน จะทำให้ผู้สอนสามารถนำสิ่งเหล่านั้นมาพิจารณาก่อนที่จะวางแผนการสอน โดยการวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual differences) ในด้านต่าง ๆ ซึ่งสามารถค้นหาข้อมูลได้จาก
3.1.บันทึกข้อมูลต่างๆ (Use of Available Records)
1. กำหนดวัตถุประสงค์ (Specification of Objectives) คือการวัตถุประสงค์ว่าผู้เรียนควรจะสามารถทำสิ่งใดได้บ้าง
2. กำหนดเนื้อหา (Specification of Content) เป็นการเลือกเนื้อหาที่จะสามารถช่วยให้ผู้เรียนบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ได้
3. พิจารณาพื้นฐานเดิมของผู้เรียน (Assessment of Entering Behaviors) การทราบถึงความรู้พื้นฐานหรือประสบการณ์เดิมของผู้เรียน จะทำให้ผู้สอนสามารถนำสิ่งเหล่านั้นมาพิจารณาก่อนที่จะวางแผนการสอน โดยการวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual differences) ในด้านต่าง ๆ ซึ่งสามารถค้นหาข้อมูลได้จาก
3.1.บันทึกข้อมูลต่างๆ (Use of Available Records)
3.2.
แบบทดสอบที่ผู้สอนสร้างขึ้น (Teacher - Designed
Pretest)
4.
เลือกยุทธศาสตร์และเทคนิคการสอน (Determination of
Strategy and Techniques) คือ
วิธีการที่ครูใช้ในการให้ข้อมูล ในการเลือกแหล่งการเรียนรู้ และบทบาทของผู้เรียน
ที่จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
ซึ่งวิธีการดังกล่าวแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
4.1. การบรรยาย (Expository Approach)
4.1. การบรรยาย (Expository Approach)
4.2.
วิธีการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Approach) ทำ
5. จัดกลุ่มผู้เรียน (Oganization
of Students into Groups) เป็นการจัดกลุ่มเรียน
เช่น เรียนร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก หรือโดยการบรรยายเป็นกลุ่มใหญ่ หรือเป็นรายบุคคล
ระหว่างครูและกลุ่มผู้เรียนเท่านั้น
6. กำหนดเวลาเรียน (Allocation of Time) การเลือกยุทธวิธี เทคนิคต่าง ๆ นั้นล้วนมีผลต่อการเลือกและกำหนดเวลาเรียนที่เหมาะสมทั้งสิ้น เช่น เนื้อหาวิชา วัตถุประสงค์ สถานที่เรียน รูปแบบการบริหาร ความสามารถ และความสนใจของผู้เรียน
7. กำหนดสถานที่เรียน (Allocate of Learning Space) จะขึ้นอยู่กับขนาดของกลุ่มผู้เรียน วิธีการสอน คือ
7.1. ห้องสำหรับกลุ่มใหญ่ เรียนได้ครั้งละ 30-50 คน
7.2. ห้องขนาดเล็ก ใช้สำหรับการเรียนการสอนกลุ่มย่อย หรือการอภิปราย
7.3. ห้องเรียนแบบรายบุคคล อาจเป็นศูนย์สื่อที่จัดไว้สำหรับเรียนเป็นรายบุคคล
8. การกำหนดแหล่งการเรียนรู้ (Allocation of Resources) เป็นการเลือกแหล่งการเรียน หรือสื่อการสอน ซึ่งสามารถสนองตอบวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ เช่น ภาพนิ่ง เสียง ภาพเคลื่อนไหว โทรทัศน์ อื่นๆ เป็นต้น
6. กำหนดเวลาเรียน (Allocation of Time) การเลือกยุทธวิธี เทคนิคต่าง ๆ นั้นล้วนมีผลต่อการเลือกและกำหนดเวลาเรียนที่เหมาะสมทั้งสิ้น เช่น เนื้อหาวิชา วัตถุประสงค์ สถานที่เรียน รูปแบบการบริหาร ความสามารถ และความสนใจของผู้เรียน
7. กำหนดสถานที่เรียน (Allocate of Learning Space) จะขึ้นอยู่กับขนาดของกลุ่มผู้เรียน วิธีการสอน คือ
7.1. ห้องสำหรับกลุ่มใหญ่ เรียนได้ครั้งละ 30-50 คน
7.2. ห้องขนาดเล็ก ใช้สำหรับการเรียนการสอนกลุ่มย่อย หรือการอภิปราย
7.3. ห้องเรียนแบบรายบุคคล อาจเป็นศูนย์สื่อที่จัดไว้สำหรับเรียนเป็นรายบุคคล
8. การกำหนดแหล่งการเรียนรู้ (Allocation of Resources) เป็นการเลือกแหล่งการเรียน หรือสื่อการสอน ซึ่งสามารถสนองตอบวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ เช่น ภาพนิ่ง เสียง ภาพเคลื่อนไหว โทรทัศน์ อื่นๆ เป็นต้น
9. ประเมินผล (Evaluation
of Performance) เป็นการประเมินผลพฤติกรรมของผู้เรียนอันเกิดจากปฏิสัมพันธ์
ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน หรือ ผู้เรียนกับผู้เรียน และผู้เรียนกับสื่อการสอน
10. วิเคราะห์ข้อมูลย้อนกลับ (Analysis
of Feedback) หลังจากที่ได้ประเมินผลการเรียนการสอนแล้วจะทำให้ทราบว่า
การเรียนการสอนสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้มากน้อยเพียงใด
รูปแบบการสอนโดยใช้รูปแบบจำลอง ASSURE
ลำดับขั้นดังนี้
A = ANALYZE LEARNER'S CHARACTERISTICS การวิเคราะห์พฤติกรรมเบื้องต้นและความต้องการของผู้เรียน ที่สำคัญได้แก่
1. ข้อมูลทั่วไป เช่น อายุ เพศ ระดับการศึกษา เจตคติ ระบบสังคม วัฒนธรรม
2. ข้อมูลเฉพาะ เป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการเรียนการสอน เช่น ประสบการณ์เดิม ทักษะ เจตคติ ความรู้พื้นฐาน และความสามารถในการเรียน
ลำดับขั้นดังนี้
A = ANALYZE LEARNER'S CHARACTERISTICS การวิเคราะห์พฤติกรรมเบื้องต้นและความต้องการของผู้เรียน ที่สำคัญได้แก่
1. ข้อมูลทั่วไป เช่น อายุ เพศ ระดับการศึกษา เจตคติ ระบบสังคม วัฒนธรรม
2. ข้อมูลเฉพาะ เป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการเรียนการสอน เช่น ประสบการณ์เดิม ทักษะ เจตคติ ความรู้พื้นฐาน และความสามารถในการเรียน
S =
STATE LEARNING OBJECTIVES AND CONTENT การกำหนดจุดมุ่งหมาย
จุดมุ่งหมายการเรียนที่ดี ควรเป็นข้อความที่แสดงถึงลักษณะ สำคัญ 3 ประการคือ
1. วิธีการปฏิบัติ PERFORMANCE (ทำอะไร)
1. วิธีการปฏิบัติ PERFORMANCE (ทำอะไร)
2.
เงื่อนไข CONDITIONS (ทำอย่างไร)
3.
เกณฑ์ CRITERIA (ทำได้ดีเพียงไร)
S =
SELECT, MODIFY OR DESIGN MOTHODS AND MATERIALS การกำหนดสื่อการเรียนการสอน
อาจดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งใน 3 ประการดังนี้ คือ
1. การเลือกใช้สื่อการเรียนการสอน
2. ดัดแปลงจากสื่อวัสดุที่มีอยู่แล้ว
3. การออกแบบสื่อใหม่
U = UTILIZE METHODS AND MATERIALS กิจกรรมการใช้สื่อการเรียนการสอน พิจารณาได้ 3 ลักษณะคือ
1. การใช้สื่อประกอบการสอนของผู้สอน เช่น ประกอบคำบรรยาย และอธิบาย
2. การใช้สื่อเป็นกิจกรรมการเรียนการสอนของผู้เรียน เช่น ชุดการสอน บทเรียนด้วยตนเอง
3. การใช้สื่อร่วมกันระหว่างผู้เรียนและผู้สอน เช่น เกม สถานการณ์จำลอง และการสาธิต การมีส่วนร่วมของผู้เรียนการใช้สื่อการเรียนการสอนควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนให้มากที่สุด
R = REQUIRE LEARNER'S RESPONSE การกำหนดพฤติกรรมตอบสนองของผู้เรียน การเรียนรู้ที่มีีประสิทธิภาพที่สุดนั้นผู้เรียนจะต้องมีปฏิกิริยาตอบสนอง และมีการเสริมแรง การที่ผู้สอนให้ข้อมูลย้อนกลับทันทีต่อการตอบสนองของผู้เรียนจะทำให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจในการเรียน
E = EVALUATION การประเมินผล ควรพิจารณาทั้ง 3 ด้านคือ
1. การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
2. การประเมินสื่อและวิธีใช้
3. การประเมินกระบวนการเรียนการสอน
1. การเลือกใช้สื่อการเรียนการสอน
2. ดัดแปลงจากสื่อวัสดุที่มีอยู่แล้ว
3. การออกแบบสื่อใหม่
U = UTILIZE METHODS AND MATERIALS กิจกรรมการใช้สื่อการเรียนการสอน พิจารณาได้ 3 ลักษณะคือ
1. การใช้สื่อประกอบการสอนของผู้สอน เช่น ประกอบคำบรรยาย และอธิบาย
2. การใช้สื่อเป็นกิจกรรมการเรียนการสอนของผู้เรียน เช่น ชุดการสอน บทเรียนด้วยตนเอง
3. การใช้สื่อร่วมกันระหว่างผู้เรียนและผู้สอน เช่น เกม สถานการณ์จำลอง และการสาธิต การมีส่วนร่วมของผู้เรียนการใช้สื่อการเรียนการสอนควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนให้มากที่สุด
R = REQUIRE LEARNER'S RESPONSE การกำหนดพฤติกรรมตอบสนองของผู้เรียน การเรียนรู้ที่มีีประสิทธิภาพที่สุดนั้นผู้เรียนจะต้องมีปฏิกิริยาตอบสนอง และมีการเสริมแรง การที่ผู้สอนให้ข้อมูลย้อนกลับทันทีต่อการตอบสนองของผู้เรียนจะทำให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจในการเรียน
E = EVALUATION การประเมินผล ควรพิจารณาทั้ง 3 ด้านคือ
1. การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
2. การประเมินสื่อและวิธีใช้
3. การประเมินกระบวนการเรียนการสอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น