วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2558

นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา

สัปดาร์ที่ 8

การจัดการความรู้
(Knowledge Management-KM)
การจัดการความรู้ หรือเคเอ็ม (KM = Knowledge Management) คือ การรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในองค์กร ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคลหรือเอกสาร มาพัฒนาให้เป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้ และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลให้องค์กรมีความสามารถในเชิงแข่งขันสูงสุด โดยที่ความรู้มี 2 ประเภท คือ
          1. ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ พรสวรรค์หรือสัญชาติญาณของแต่ละบุคคลในการทำความเข้าใจในสิ่งต่างๆ

          2. ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่สามารถรวบรวม ถ่ายทอดได้ โดยผ่านวิธีต่าง ๆ

การจัดการความรู้เพื่อการบรรลุเป้าหมายอย่างน้อย 4 ประการ
   1. บรรลุเป้าหมายของงาน
   2. บรรลุเป้าหมายการพัฒนาคน
   3. บรรลุเป้าหมายการพัฒนาองค์กรไปเป็นองค์กรเรียนรู้ และ
   4. บรรลุความเป็นชุมชน เป็นหมู่คณะ ความเอื้ออาทรในที่ทำงาน  
การจัดการความรู้เป็นการดำเนินการอย่างน้อย 6 ประการต่อความรู้ ได้แก่
  (1) การกำหนดความรู้หลักที่จำเป็นหรือสำคัญต่องาน  กิจกรรม  กลุ่ม  องค์กร
  (2) การเสาะหาความรู้ที่ต้องการ
  (3) การปรับปรุง ดัดแปลง สร้างความรู้บางส่วน ให้เหมาะต่อการใช้งานของตน
  (4) การประยุกต์ใช้ความรู้ในกิจการงานของตน
  (5) การนำประสบการณ์จากการทำงาน และการประยุกต์ใช้ความรู้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และสกัดขุมความรู้ออกมาบันทึกไว้
  (6) การจดบันทึกขุมความรู้และ แก่นความรู้สำหรับไว้ใช้งาน และปรับปรุงเป็นชุดความรู้ที่ครบถ้วน ลุ่มลึกและเชื่อมโยงมากขึ้น
ตั้งเป้าหมายการจัดการความรู้เพื่อพัฒนา
- งาน พัฒนางาน
        - คน พัฒนาคน
        - องค์กร เป็นองค์กรการเรียนรู้
องค์ประกอบสำคัญของการจัดการความรู้ (Knowledge Process)
1. คน เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดเป็นผู้นำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์
2.“เทคโนโลยี เป็นเครื่องมือเพื่อให้คนสามารถค้นหา จัดเก็บ แลกเปลี่ยน รวมทั้งนำความรู้ไปใช้อย่างง่าย และรวดเร็วขึ้น
3. กระบวนการความรู้ นั้น เป็นการบริหารจัดการ เพื่อนำความรู้จากแหล่งความรู้ไปให้ผู้ใช้ เพื่อทำให้เกิดการปรับปรุง และนวัตกรรม
กระบวนการจัดการความรู้
กระบวนการจัดการความรู้ มีทั้งหมด 7 ขั้นตอน คือ
         1. การบ่งชี้ความรู้ ยุทธศาสตร์ เป้าหมายคืออะไร และเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย จำเป็นต้องใช้อะไร  เรามีความรู้อะไรบ้าง อยู่ในรูปแบบใด อยู่ที่ใคร
         2. การสร้างและแสวงหาความรู้ เช่นการสร้างความรู้ใหม่ แสวงหาความรู้จากภายนอก รักษาความรู้เก่า กำจัดความรู้ที่ใช้ไม่ได้แล้ว
         3. การจัดความรู้ให้เป็นระบบ เป็นการวางโครงสร้างความรู้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเก็บความรู้อย่างเป็นระบบในอนาคต
         4. การประมวลและกลั่นกรองความรู้ เช่น ปรับปรุงรูปแบบเอกสารให้เป็นมาตรฐาน ใช้ภาษาเดียวกัน ปรับปรุงเนื้อหาให้สมบูรณ์
         5. การเข้าถึงความรู้ เป็นการทำให้ผู้ใช้ความรู้เข้าถึงความรู้ที่ต้องการได้ง่ายและสะดวก เช่น ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) Web board บอร์ดประชาสัมพันธ์        
6. การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ ทำได้หลายวิธีการ อาจจัดทำเป็นเอกสาร ฐานความรู้ เทคโนโลยีสารสนเทศ       
7. การเรียนรู้ ระบบการเรียนรู้จากสร้างองค์ความรู้ การนำความรู้ในไปใช้ เกิดการเรียนรู้และประสบการณ์ใหม่


Flipped Classroom




ห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom)เป็นรูปแบบหนึ่งของการสอนโดยที่ผู้เรียนจะได้เรียนรู้จากการบ้านที่ได้รับผ่านการเรียนด้วยตนเองจากสื่อวิดีทัศน์( Video )นอกชั้นเรียนหรือที่บ้าน ส่วนการเรียนในชั้นเรียนปกตินั้นจะเป็นการเรียนแบบสืบค้นหาความรู้ที่ได้รับร่วมกันกับเพื่อนร่วมชั้น โดยมีครูเป็นผู้คอยให้ความช่วยเหลือชี้แนะ

เปรียบเทียบกิจกรรมและเวลาเรียนระหว่างห้องเรียนแบบเดิม
กับห้องเรียนกลับด้าน



การจัดการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน ( Flipped Classroom )จะมีองค์ประกอบสาคัญที่เกิดขึ้น 4 องค์ประกอบ

     1. การกำหนดยุทธวิธีเพิ่มพูนประสบการณ์ ( Experiential Engagement )
     2. การสืบค้นเพื่อให้เกิดมโนทัศน์รวบยอด ( Concept Exploration )
     3. การสร้างองค์ความรู้อย่างมีความหมาย ( Meaning Making )
     4. การสาธิตและประยุกต์ใช้ ( Demonstration & Application ) 





วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2558

นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา

สัปดาร์ที่ 7


ระบบการเรียนการสอนของคลอสเมียร์และริปเปิล

  คลอสเมียร์ และริปเปิล (Klausmeier; & Ripple. 1971: 11)  ได้กำหนดองค์ประกอบของระบบการเรียนการสอนไว้ 7 ส่วน  คือ
1. การกำหนดจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอน  การกำหนดเนื้อหา  การเลือกวิธีสอน  กิจกรรมการเรียนการสอน  ตลอดจนการวัดผล
2. การพิจารณาความพร้อมของผู้เรียน  ความพร้อมสภาวะทั้งทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสติปัญญาของ ผู้เรียนที่เอื้อให้ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้ได้ดี
3. การจัดเนื้อหาวิชา  วัสดุ  อุปกรณ์และเครื่องมือต่าง ๆ  การเลือกเนื้อหาการสอน และวัสดุอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับการเรียนการสอน
4. การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน  การจัดการเรียนรู้และการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ จำเป็นต้องอาศัยวิธีการสอนและวิธีการเรียนรู้ที่หลายวิธี ผสมผสานเข้าด้วยกัน

5. การดำเนินการสอน  การจัดการเรียนการสอนตามรูปแบบที่กำหนดไว้
6. การวัดและประเมินผลการเรียนการสอน  กระบวนการวัดผลอย่างหนึ่งที่กระทำอย่างมีระบบเพื่อใช้ในการเปรียบเทียบความสามารถของบุคคล 
7. สัมฤทธิผลของนักเรียน ผลที่เกิดจากกระบวนการเรียนการสอนที่จะทำให้นักเรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และสามารถวัดได้โดยการแสดงออกมาทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านพุทธิพิสัย ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย
  องค์ประกอบของระบบการเรียนการสอนของคลอสเมียร์และริปเปิล  แสดงดัง
ภาพประกอบ 1









ระบบการเรียนการสอนของเนิร์คและเยนตรี
  เนิร์ค และเยนตรี (Knirk; & Gentry. 1971)  ได้กำหนดองค์ประกอบของระบบการเรียนการสอนเป็น 6 ส่วน คือ
1. การกำหนดเป้าหมาย  เป็นการกำหนดเป้าหมายของการสอนไว้อย่างกว้าง ๆ
2. การวิเคราะห์กิจกรรม  เป็นการวิเคราะห์งานต่าง ๆ ที่จะต้องทำโดยการย่อยเป้าหมายของการสอนออกเป็นจุดประสงค์ของการสอนเพื่อให้มีความละเอียดและชัดเจนยิ่งขึ้น
3. การกำหนดกิจกรรม  เป็นการกำหนดกิจกรรมให้เป็นหมวดหมู่  และเลือกเอาเฉพาะกิจกรรมที่มีความเหมาะสมที่สุด
4. การดำเนินการสอน  เป็นขั้นของการนำเอาแผนการที่วางไว้ไปสอนในชั้นเรียนผู้สอนจำเป็นต้องควบคุมการดำเนินกิจกรรมให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
5. การประเมินผล  เป็นการประเมินผลการดำเนินงานทั้งหมดของระบบ  เพื่อให้ทราบจุดดีและจุดอ่อนที่จะต้องปรับปรุงแก้ไข
6. การปรับปรุงแก้ไข  เป็นขั้นของการนำข้อมูลที่ได้จากการประเมินผลไปแก้ไขจุดอ่อนของระบบการเรียนการสอนเพื่อจะทำให้เป็นระบบการเรียนการสอนที่มีความเหมาะสมหรือมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
  องค์ประกอบของระบบการเรียนการสอนของเนิร์คและเยนตรี แสดงดังภาพประกอบ 1









ระบบการเรียนการสอนของซีลส์และกลาสโกว์
  ซีลส์  และกลาสโกว์ (Seels; & Glasgow. 1990) ได้เสนอการจัดระบบการเรียนการสอนโดยมีขั้นตอนดังนี้
1. การวิเคราะห์ปัญหา (Problem Analysis) เป็นการพิจารณาว่าเกิดปัญหาอะไรในการเรียนการสอนโดยผ่านการรวบรวมและเทคนิคการประเมินและระบุสิ่งที่เป็นปัญหา
2. วิเคราะห์การสอนและกิจกรรม (Task and Instructional Analysis) เป็นการรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อกำหนดด้านเจตคติเพื่อกำหนดสิ่งที่ได้เรียนมาก่อน
3. การกำหนดวัตถุประสงค์และแบบทดสอบ (Objective and Tests) เป็นการกำหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมและแบบทดสอบอิงเกณฑ์
4. กลยุทธ์การเรียนการสอน (Instructional Strategy) เป็นการตัดสินใจเกี่ยวกับกลยุทธ์และองค์ประกอบด้านการเรียนการสอน
5. การตัดสินใจเลือกสื่อการสอน (Media Decision) เป็นการเลือกสื่อการเรียนการสอนและวิธีการใช้เพื่อทำให้การเรียนการสอนบรรลุผล
6. การพัฒนาการสอน (Materials Development) เป็นการวางแผนสำหรับผลผลิต  การพัฒนาวัสดุ  เครื่องมือหรือโปรแกรมที่ใช้ในการเรียนการสอน
7. การประเมินผลย่อยระหว่างเรียน (Formative Evaluation) เป็นการประเมินผลเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน  รวบรวมข้อมูล  และตรวจสอบพัฒนาการของผู้เรียน
8. การนำไปใช้และบำรุงรักษา (Implementation Maintenance) เป็นการนำไปใช้เพื่อพัฒนาการเรียนการสอน
9. การประเมินผลรวมภายหลังการเรียน (Summative Evaluation) เป็นการพิจารณาประเมินผลว่าผ่านเกณฑ์ที่กำหนดหรือไม่
10. การเผยแพร่และขยายผล (Dissemination Diffusion) เป็นขั้นของการจัดการให้มีการเผยแพร่  ขยายผลนวัตกรรมการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้น
  องค์ประกอบของระบบการเรียนการสอนของซีลส์และกลาสโกว์   แสดงดังภาพประกอบ 1














ระบบการเรียนการสอนของโรเบิร์ต กาเย่ (Robert Gange') 
ได้นำเอาแนวแนวความคิด 9 ประการ มาใช้ประกอบการออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ได้บทเรียนที่เกิดจากการออกแบบในลักษณะการเรียนการสอนจริง โดยยึดหลักการนำเสนอเนื้อหาและจัดกิจกรรมการเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์ หลักการสอนทั้ง 9 ประการได้แก่
1. เร่งเร้าความสนใจ (Gain Attention) การจูงใจและเร่งเร้าความสนใจให้ผู้เรียนอยากเรียน
2. บอกวัตถุประสงค์ (Specify Objective) วัตถุประสงค์ของบทเรียน ที่ผู้เรียนจะได้ทราบถึงความคาดหวังของบทเรียนจากผู้เรียน นอกจากผู้เรียนจะทราบถึงพฤติกรรมขั้นสุดท้ายของตนเองหลังจบบทเรียนแล้ว จะยังเป็นการแจ้งให้ทราบล่วงหน้าถึงประเด็นสำคัญของเนื้อหา รวมทั้งเค้าโครงของเนื้อหาอีกด้วย
3. ทบทวนความรู้เดิม (Activate Prior Knowledge) การทบทวนความรู้เดิมก่อนที่จะนำเสนอความรู้ใหม่แก่ผู้เรียน มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาวิธีการประเมิน
4. นำเสนอเนื้อหาใหม่ (Present New Information) หลักสำคัญในการนำเสนอเนื้อหา ควรนำเสนอภาพที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา ประกอบกับคำอธิบายสั้นๆ ง่าย แต่ได้ใจความ การใช้ภาพประกอบ จะทำให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาง่ายขึ้น และมีความคงทนในการจำได้ดีกว่าการใช้คำอธิบายเพียงอย่างเดียว
5. ชี้แนะแนวทางการเรียนรู้ (Guide Learning)  จะต้องยึดหลักการจัดการเรียนรู้ จากสิ่งที่มีประสบการณ์เดิมไปสู่เนื้อหาใหม่ จากสิ่งที่ยากไปสู่สิ่งที่ง่ายกว่า ตามลำดับขั้น
6. กระตุ้นการตอบสนองบทเรียน (Elicit Response)  หากผู้เรียนได้มีโอกาสร่วมคิด ร่วมกิจกรรมในส่วนที่เกี่ยวกับเนื้อหา และร่วมตอบคำถาม จะส่งผลให้มีความจำดีกว่าผู้เรียนที่ใช้วิธีอ่านหรือคัดลอกข้อความจากผู้อื่นเพียงอย่างเดียว
7. ให้ข้อมูลย้อนกลับ (Provide Feedback)  ถ้าบทเรียนนั้นท้าทาย โดยการบอกเป้าหมายที่ชัดเจน และแจ้งให้ผู้เรียนทราบว่าขณะนั้นผู้เรียนอยู่ที่ส่วนใด ห่างจากเป้าหมายเท่าใด
8. ทดสอบความรู้ใหม่ (Assess Performance)  การทดสอบหลังบทเรียน (Post-test) เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทดสอบความรู้ของตนเอง นอกจากนี้จะยังเป็นการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่าผ่านเกณฑ์ที่กำหนด
 9. สรุปและนำไปใช้ (Review and Transfer) ชี้แนะเนื้อหาที่เกี่ยวข้องหรือให้ข้อมูลอ้างอิงเพิ่มเติม เพื่อแนะแนวทางให้ผู้เรียนได้ศึกษาต่อในบทเรียนถัดไป หรือนำไปประยุกต์ใช้กับงานอื่นต่อไป 





ที่มา : http://www.kroobannok.com/92



ระบบการเรียนการสอนของยูเนสโก UNESCO Model





1. Implementation (ขั้นการนำไปใช้) การนำส่งการสอนอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการสอนไม่ว่าจะเป็นรูปแบบชั้นเรียนหรือห้องทดลอง
2. Evaluation(ขั้นการประเมินผล) การเปรียบเทียบกับการเรียนการสอนแบบปกติและการเรียนการสอนด้วยบทเรียนขั้นการประเมินผลแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน
   2.1 การประเมินผลเพื่อพัฒนา (Formative evaluation)
   2.2 การประเมินผลแบบรวม (Summative evaluation)
3. Analysis (ขั้นวิเคราะห์ปัญหา) จะต้องระบุปัญหา  ระบุแหล่งปัญหา  และวินิจฉัยคำตอบที่ทำได้  การวิเคราะห์งาน  การวิเคราะห์ภารกิจ
4. Design (ขั้นการออกแบบ) การวางแผลกลยุทธ์สำหรับพัฒนาการสอนกำหนดโครงร่างวิธีการให้บรรลุถึงเป้าหมายการสอนการออกแบบการสอนแบ่งออกเป็นดังนี้
   4.1 การออกแบบ Courseware (การออกแบบบทเรียน) ได้แก่วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม  เนื้อหา  แบบทดสอบก่อนเรียน-แบบทดสอบหลังเรียน  สื่อ  กิจกรรม
   4.2 การออกแบบผังงาน (Flowchart) การออกแบบบทการดำเนินเรื่องในการเรียนการสอน
   4.3 การออกแบบหน้าจอภาพ (Screen Design) การจัดพื้นที่ของเนื้อหาให้ถูกต้องและมีความพอดี
5. Improvement(ขั้นการปรับปรุง) การปรับปรุงแก้ไขโดยพิจารณาจุดบกพร่องต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในขั้นการออกแบบการเรียนการสอน

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2558

นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา

สัปดาห์ที่ 5


Concept   Idea (ระดับคุณครู)





1.สิ่งที่ป้อนเข้าไป ( Input ) หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในกระบวนการหรือโครงการต่างๆ เช่น ในระบบการเรียนการสอนในชั้นเรียน อาจได้แก่ ครู นักเรียน ชั้นเรียน หลักสูตร ตารางสอน วิธีการสอน เป็นต้น ถ้าในเรื่องระบบหายใจ อาจได้แก่ จมูก ปอด กระบังลม อากาศ เป็นต้น
2. กระบวนการหรือการดำเนินงาน ( Process) หมายถึง การนำเอาสิ่งที่ป้อนเข้าไป มาจัดกระทำให้เกิดผลบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ เช่น การสอนของครู หรือการให้นักเรียนทำกิจกรรม เป็นต้น
3. ผลผลิต หรือการประเมินผล (Output) หมายถึง ผลที่ได้จากการกระทำในขั้นที่สอง ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน หรือผลงานของนักเรียน เป็นต้น ผลที่ได้จากการกระทำในขั้นที่สอง การวิเคราะห์ระบบ (System Analysis) การวิเคราะห์ระบบ เป็นวิธีการนำเอาผลที่ได้ ซึ่งเรียกว่า ข้อมูลย้อนกลับ (Feed Back) จากผลผลิตหรือการประเมินผลมาพิจารณาปรับปรุงระบบให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น



สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน




1.ความสามารถในการสื่อสาร หมายถึง ใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเอง เพื่อเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์
2.ความสามารถในการคิด หมายถึง รู้จักคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ คิดอย่างสร้างสรรค์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ และคิดเป็นระบบ
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา หมายถึง เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคมแสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกัน และแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต หมายถึง ใช้กระบวนการต่าง ๆ ในการดำเนินชีวิตประจำวัน เรียนรู้ด้วยตนเองต่อเนื่อง ทำงานและอยู่ร่วมกันในสังคม
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี หมายถึง รู้จักเลือกและใช้เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ ทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม


Thinking Development
“Education is not the learning of facts, but the training of the mind to think. (Albert Eintein)
การศึกษามิใช่การเรียนรู้ความเป็นจริงหรือสิ่งที่มีอยู่แต่การศึกษา เป็นกระบวนการฝึกฝนและสร้างทักษะให้รู้จักคิด
    -Analytical Thinking (การคิดวิเคราะห์)
    -System Thinking (การคิดเป็นระบบ)
    -Critical Thinking (การคิดสังเคราะห์)
    -Reflective Thinking (การสะท้อนคิด)
    -Logical Thinking (การคิดแบบตรรกะ)
    -Analogical Thinking (การคิดเชิงเปรียบเทียบ)
    -Practical Thinking (การคิดแบบลงมือปฏิบัติ)
    -Deliberative Thinking (การคิดแบบบูรณาการ)
    -Creative Thinking (การคิดสร้างสรรค์)
    -Team Thinking (การคิดเป็นทีม)




พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ว่า เข้าใจ  เข้าถึง และพัฒนา” ถือว่าเป็นหัวใจของการทำงานเพื่อรับใช้เบื้องพระยุคลบาทในฐานะข้าราชการ  หากพิจารณาแล้วมีความหมายที่ลึกซึ้งนัก กล่าวคือ
เข้าใจ หมายถึง ความเข้าใจแจ่มชัดในประเด็น จุดมุ่งหมาย ทิศทางของงานที่ทำ
เข้าถึง  หมายถึง การเข้าถึงปัจจัย เช่น องค์ความรู้ หลักคิดทฤษฎี แนวทาง ทรัพยากรการบริหารต่าง ๆ ของงานที่กำลังทำ
พัฒนา หมายถึง การลงมือกระทำ และหาทางต่อยอดองค์ความรู้เดิมให้ดีขึ้น  สิ่งที่ต่อยอดนี้เป็นองค์ความรู้ใหม่ ที่เรียกว่า นวัตกรรม (Innovation) เกิดวิธีคิดใหม่ (Paradigm) ที่เป็นของตน ส่วนนี้ถือว่าเป็นองค์ความรู้ที่จะเปิดทางให้ผู้อื่นได้เรียนรู้และต่อยอด
ถือว่าเป็นทฤษฎีการพัฒนาสู่ความยั่งยืนที่มีคุณค่ายิ่งที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการบริการจัดการศึกษาในโรงเรียนได้เป็นอย่างดี  ทั้งระดับบริหารและระดับปฏิบัติคือครู




หลักความเชื่อ 10 ประการ
          1.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามๆ กันมา
          2.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา
          3.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ
          4.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
          5.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเดาว่าเป็นเหตุผลกัน
          6.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมานคาดคะเน
          7.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเดาจากอาการที่เห็น
          8.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว
          9.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะผู้พูดมีลักษณะน่าเชื่อถือ
         10.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้ เป็นครูของเรา